ตามประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 หลายคนเข้าใจว่าสาเหตุหลักที่กองทัพอักษะอย่างญี่ปุ่นต้องยอมแพ้ในสงครามครั้งนี้มาจากการโดนทิ้งระเบิดถึง 2 ลูกในช่วงระยะเวลาไล่เลี่ยกันไม่นาน สร้างความเสียหายให้กับประเทศ ความบอบช้ำให้กับพลเมืองจำนวนมาก แต่มีรายละเอียดอย่างหนึ่งระบุเอาไว้ว่าจริงแล้วญี่ปุ่นไม่ได้ยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ แล้วอย่างนั้นสาเหตุที่พวกเขายอมแพ้มันคืออะไรกันแน่ เป็นความสงสัยที่หลายคนได้ตั้งคำถามเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้

แท้จริงแล้วญี่ปุ่นไม่ได้ยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะระเบิดปรมาณูของสหรัฐฯ

เราทุกคนต่างก็ได้ร่ำเรียนประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 กันมาค่อนข้างเยอะว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นฝ่ายอักษะร่วมกับเยอรมนี อิตาลี ต้องยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจากการที่พวกเขาโดนสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูถึง 2 ลูก ที่เมืองฮิโรชิม่า และเมืองนางาซากิ จนทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่หลวงรวมถึงยังทำให้พลเมืองจำนวนมากต้องบาดเจ็บล้มตายจากพิษภัยของกัมมันตภาพรังสีนี้ด้วย ทว่าล่าสุดได้มีการเปิดเผยความจริงอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยโดยระบุว่าแท้จริงแล้วการที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ต่อสหรัฐฯ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ไม่ได้มาจากการโดนทิ้งระเบิดปรมาณูใส่ถึง 2 ลูก ที่ถล่มไปยังเมืองฮิโรชิม่าและนางาซากิเมื่อตอนเดือนสิงหาคม ปี 1945 แต่มาจากการที่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียต 1.6 ล้านคน บุกเข้าไปโจมตีกองทัพของญี่ปุ่นซึ่งตอนนั้นได้ครอบครองเอเชียตะวันออกอยู่กว่าล้านนายภายในวันเดียวแบบที่พวกเขาไม่ทันได้ตั้งตัว

นี่คือประวัติศาสตร์หน้าใหม่ที่มาจากการบอกเล่าของ ศ. Santa Barbara แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ที่มีการค้นคว้าหาหลักฐานประกอบคำยืนยันดังกล่าว มีการเห็นแย้งว่า ความหวาดกลัวเกี่ยวกับการโดนกองทัพแดงแห่งสหภาพโซเวียตบุกเข้าโจมตีแบบไม่ทันได้ตั้งตัวส่งผลให้เกิดแรงจูงใจจนญี่ปุ่นตัดสินใจยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 กับสหรัฐฯ เพราะต้องการโดนปฏิบัติอย่างผู้แพ้สงครามที่ดีกว่าการเป็นผู้แพ้สงครามต่อสหภาพโซเวียต

เรื่องราวนี้ถือเป็นเรื่องราวที่มีความแปลกใหม่พร้อมสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ศึกษาในด้านของประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุการณ์สงครามโลกครั้งนี้มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมายจนหลายคนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนรับรู้ได้นั่นคือต่างฝ่ายต่างสูญเสียทั้งนั้น ญี่ปุ่นเองก็สูญเสียไปไม่น้อยจากสงคราม ถือว่าเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์ที่ยังรอการยืนยันว่าแท้จริงแล้วมันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่ และเป็นการตัดสินใจแบบนี้จริงแค่ไหน