ทุกคนบนโลกในยุคนี้รู้กันดีว่าประเทศมหาอำนาจของโลกที่มักจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับประเทศอื่นเสมอยามที่พวกเขาเกิดอะไรขึ้นมาก็ตามนั่นคือ สหรัฐฯ กับ รัสเซีย ซึ่งพวกเขาถูกยกให้เป็นมหาอำนาจของโลกนับตั้งแต่หมดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต (รัสเซียเดิม) เป็นผู้นำในการเอาชนะกลุ่มอักษะ แม้ว่าล่าสุดสงครามจะผ่านมายาวนานรวมไปถึงเรื่องสงครามเย็น แต่ก็ยังคงมีความไม่ลงรอยกันของสองประเทศนี้อยู่ดี
สหรัฐฯ กล่าวหา รัสเซีย เข้าแทรกแซง การเมืองในประเทศ
นายโรเบิร์ต มุลเลอร์ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษได้ดำเนินการสอบสวนกรณีที่พวกเขาเชื่อว่ารัสเซียเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปี 2016 พร้อมตั้งข้อหาดำเนินคดีกับชาวรัสเซียทั้งหมด 13 คน ที่เชื่อว่ามีส่วนพัวพันเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เอกสารได้ระบุเอาไว้ว่า ชาวรัสเซียกลุ่มนี้พยายามสร้างความวุ่นวายด้านการเมืองของสหรัฐฯ ด้วยการใช้ข้อมูลปลอมเพื่อแสดงตนเป็นชาวอเมริกันเข้ามาเปิดบัญชี ทำธุรกรรมการเงินจำนวนมากเอาไว้ซื้อพื้นที่โฆษณาทางการเมือง รวมเงินแล้วก็หลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ละเดือน พร้อมกันนี้ยังได้ซื้อพื้นที่ใช้งานเซิร์ฟเวอร์คอมพิวเตอร์สหรัฐฯ เพื่อช่วยปกปิดความเกี่ยวข้องกับรัสเซีย ทางการของสหรัฐฯ มั่นใจว่าคนกลุ่มนี้ได้เคยปลอมตัวเป็นชาวอเมริกัน มีการเดินทางเข้าสหรัฐฯ เพื่อเตรียมการสำหรับการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีมาตั้งแต่ปี 2014 เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการชุมนุมทางการเมืองในประเทศหลายครั้ง โพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองลงบนสื่อออนไลน์พร้อมอ้างว่าตนเองเป็นคนสหรัฐฯ สร้าง และส่งเสริมข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อนางฮิลลารี คลินตัน คาดว่าทุนในการใช้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1.25 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
นอกจากเรื่องของการตั้งข้อหากับชาวรัสเซีย 13 รายแล้ว สหรัฐฯ ยังเชื่ออีกว่ามีบริษัทในรัสเซียอีก 3 บริษัท เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ด้วย หนึ่งในบริษัทที่ถูกเปิดเผยชื่อออกมาคือ บริษัท Internet Research Agency ซึ่งตั้งอยู่ในนครเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก จุดมุ่งหมายคือต้องการสร้างยุทธศาสตร์เพื่อให้เกิดความแตกแยกของระบบการเมืองสหรัฐฯ
นอกจากนี้ทางด้านของนายร็อด โรเซนสไตน์ ตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ได้ออกมาแถลงว่ายังไม่พบชาวอเมริกันคนใดมีส่วนเกี่ยวช้องหรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องราวดังกล่าวนี้กันแน่ กระนั้นก็ยังยืนยันการแทรกแซงดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการเลือกตั้งสหรัฐฯ อย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแต่อย่างใด สำหรับเรื่องราวนี้ยังคงเป็นเรื่องน่าสงสัยต่อไปว่าแท้จริงแล้วรัสเซียแอบทำแบบนั้นจริงๆ หรือสหรัฐฯ หวาดระแวงเกินไปจนทำให้ออกมาปฏิบัติดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ถือว่าน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว